คนที่อยู่คู่กันมันก็มีหลากหลายเหตุผล อยู่ด้วยเพราะเหมาะสมกัน อยู่เพราะเข้าใจกัน อยู่เป็นเพื่อนกัน อยู่เพราะรักกัน อยู่เพราะสงสารกัน และหลาย ๆ คู่ก็อยู่กันมาได้ด้วยเหตุผลเหล่านั้น เป็นปี 5ปี หรือ 10 ปี
แต่วันใดที่เราเจอคนที่เรารักเข้าเต็มหัวใจ ซึ้งความรักนั้นจะมาเหนือเหตุผลอื่นใดหรือเปล่า มันคงเป็นคำถามอยู่ในใจของใครหลาย ๆ คู่ที่อยู่ด้วยกันเพราะเหตุผลอื่น ๆ ที่ไม่ได้มาจากการรักกัน
มันจริงเหรอ อยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้รักกัน ?
มันมีแน่ ๆ ครับ ซึ่งผมหนึ่งคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ผมอยู่กันแฟน จะเรียกว่าแฟนไหม คือ เราเจอกันตอนผมไปเรียนที่ต่างประเทศ ตอนแรกที่เจอเราก็ไม่คิดอะไร คบ ๆไปตอนนั้นเพราะเราก็ไม่มีใครและคิดว่ากลับเมืองไทยเดี๋ยวคงห่างกันไปเอง แต่เรื่องกลับไม่เป็นอย่างนั้นวันที่เราบอกว่าจะกลับเมืองไทยเขากลับบอกว่า จะตามเรามาอยู่เมืองไทยด้วย ผมเองก็ผิดที่ไม่ยอมตัดไฟแต่ต้นลม ซึ่งโดยส่วนตัวเป็นคนขี้สงสารไม่อยากทำให้ใครต้องเสียใจเพราะเรา
ถ้าทำใครเสียใจเพราะเราภาพนั้นมันจะติดตามมาหลอกหลอนตลอด ยอมให้ตัวเองเสียใจมากกว่า ที่จะให้คนอื่นเสียใจ และเหตุที่มากกว่านั้นคือ เขาเคยผิดหวังกับความรักที่รุนแรงมาแล้วครั้งหนึ่งเราก็ไม่อยากให้เหตุการแบบนั้นเกิดขึ้นอีก จึงปล่อยเลยตามเลย
จนมาเป็นเวลากว่า 5 ปี ซึ่ง 5 ปีที่ผ่านมา เราอยู่กันยังงัย คนไม่ได้รักแล้วอยู่ได้กันได้เหรอ ? เราค่อนข้างต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ความคิด ภาษา วัฒนธรรม เราไม่ค่อยมีบทสนทนาระหว่างกัน ไม่ได้แบ่งปันสารทุกข์สุกดิบ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตัวผมที่ไม่ค่อยพูดอะไร เพราะบางอย่างยากที่จะพูดเป็นภาษาต่างประเทศ และสิ่งแวดล้อมที่เราเจอมาเขาก็ไม่ได้เข้าใจที่มาที่ไป ความชอบในกิจกรรมที่เราทำก็ไม่เหมือนกัน เขาชอบดูซีรี่ย์สามารถดูได้เป็นอาทิตย์โดยไม่ออกไปไหน ผมกลับจากงานก็ดึก ก็ไม่ค่อยได้พูดอะไรกัน เขาพูดอะไรมา เราก็แค่ตอบเห็นด้วย แต่ถ้าออกความคิดเห็นส่วนใหญ่จะไม่ตรงกัน ก็จะทะเลาะกัน จึงเลือกที่จะ ตอบตกลงทุกครั้งไป เราไม่ค่อยไปไหนมาไหนด้วยกัน 2 ต่อ 2 เพราะมันจะเงียบ และน่าเบื่อ เนื่องจากเราไม่มีบทสนนาที่เป็นเรื่องที่สนใจเหมือนกัน ส่วนใหญ่ไปไหนก็จะเป็นการร่วมแจมไปกับกลุ่มเพื่อนของผม เราก็อยู่ด้วยกันแบบต่างคนต่างอยู่ และผมเองก็มองหา คนที่เติมเต็มความรักของผมมาโดยตลอด
แล้วทำไมไม่บอกเลิกเขา มันเป็นเรื่องยาก และยากมาก ๆ สำหรับผมตอนนี้ แต่มันสามารถทำได้โดยที่ให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจน้อยที่สุด ต้องทำให้เขาแข็งแรง สามารถยืนหยัดได้ตัวเองที่เมืองไทย เขาก็คงจะเข้มแข็งพอที่อยู่ได้โดยไม่มีเรา
ระหว่างที่รอวันนั้น ผมมีสิทธิ์ที่จะคบใครหรือเปล่า ผมจะกลายเป็นคนที่นอกใจแฟนใหม และถ้าคนที่ผมจะไปชอบรู้ว่าผมมีแฟนแล้ว เขาอยากจะมายุ่งกับเราหรือเปล่า มันจะเป็นการผิดศีลไหน สารพัดคำถาม
แล้วจะใครที่อยากจะคบกับผมไหมคับ
ปัญหานี้เริ่มเกิดขึ้นกับผม เมื่อผมได้รู้จักกับพี่คนหนึ่ง ซึ่งรู้จักกันไม่นาน เสียดายที่เรามีเวลาเรียนรู้กันน้อยไปนอน เพราะพี่เขาต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ ตรง ๆ คือผมคงรักพี่เขาเข้าเสียแล้วละ แต่ผมไม่รู้หลอกว่าพี่เขาจะคิดยังงัย แต่ที่รู้ ๆ คือ เขาจะพูดเสมอว่า เรามีแฟนแล้ว ไม่อยากแย่งเรามาจากแฟน ไม่อยากทำให้แฟนเราเสียใจ สิ่งที่เขาพยายามพูดผมก็เคยอธิบายให้ฟังแล้วเรื่องระหว่างผมกับแฟนมันเป็นอย่างไร แต่ผมก็เข้าใจ คนดี ๆ คงไม่ใครอยากจะเป็นมือที่ 3
เหมือนผมถูกขังตัวไว้แต่ใจคิดถึงอีกคน ซึ่งมันคงได้แค่คิดถึง มันเป็นความรู้สึกที่ทรมาน และคิดว่าตัวเองคงต้องติดอยู่กับห้องขังแบบนี้ตลอดไป แต่คงไม่ใครที่อยากจะถูกขังแบบนี้ตลอดไปหรอกครับ
ผมจะทำให้เขาแข็งแรง และผมก็จะเริ่มทำตามใจตนเอง และเมื่อถึงวันนั้น แม้ผมไม่มีใคร ผมก็เต็มใจที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าที่จะต้องถูกกักขัง
ระหว่างทางโอกาสที่จะมีใครเข้ามา และพร้อมที่เป็นเพื่อนคู่คิด ให้กำลังใจเราต่อสู้เรื่องนี้ คงยาก คงต้องรับสภาพแบบนี้แหละ ผิดที่ใจไม่กล้าพอ
พรรณนาโวหาร
วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2557
จะปีใหม่...ยิ่งคิดถึง
ที่บ้าน อากาศเย็น ลมโชยมาเอื่อยๆ ท้องฟ้าสีสดใสมาก บรรยากาศริมบีอน้ำล้อมรอบด้วยทุ่งนาที่พึ่งจากเสร็จจากฤดูเก็บเกี่ยวเหลือแต่ซากฟางแห้งๆ. มันยิ่งทำให้คิดถึงทวีคูณ.
อยู่เมืองหลวง เต็มไปด้วยสิ่งบันเทิง สิ่งเย้ายวนใจ จนบางครั้งทำให้ลืมไปเลยว่าจริงๆแล้วหัวใจตัวต้องการอะไร ต้องการอนาคตแบบไหน แต่พอได้อยู่กับตัวเองในบรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติกลิ่นอายบ้านนา จึงทำให้ภาพชัดเจนขึ้น ว่าสิ่งที่เรามองหามานานคืออะไร แต่มันก็ไม่ใช่ว่า เราค้นพบแล้วเราคว้ามันมาได้ตามดั่งใจอยาก เพราะคนเราย่อมมีอดีตที่ผ่านก็มีดีบ้างไม่ดีบ้าง แล้วแต่ช่วงการเวลาไม่ว่าจะด้วยหน้าที่หรือเหตุผลใดๆก็ตาม. ก็ได้แต่หวังว่าต้องมีสักวันที่ทุกอย่างลงตัว และมีทางออกที่ดี และเราก็ได้ทำตามเสียงของหัวใจเรียกร้อง
ความคิดถึงเพิ่มขึ้นทุกๆวัน พยายามหยิบนู่นนั้นนี่มาทำแต่มันก็ยังคิดถึง อากาศก็เป็นใจ ปีใหม่ปีนี้มีทั้งสุข ทรมานเพราะคิดถึง กังวลว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง จะคิดถึงกันบ้างไหม หรือจะรำคาญเราหรือเปล่า ต่างๆนานา แต่ก็ถือว่าเป็นปีใหม่ที่พิเศษสุดๆอีกปี
วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557
เทศกาลปลายปี
เมื่อใกล้จะถึงสิ้นปี หลาย ๆ คนต้องคิดถึงเทศกาลรื่นเริง ปาร์ตี้ สังสรรค์ ฝรั่งก็จะค่อนข้างให้ความสำคัญกับวันคริสมัส (ประวิติ หาอ่านใน วิกิพีเดีย) คนไทยก็มีเห่อ ๆ บ้างตาม กระแส commercial promoted แต่คนไทยก็จะให้ีความสำคัญกับปีใหม่ซะมากกว่า (เพราะปีใหม่เป็นวันหยุด)ผมโช่คดีที่ได้เคยไปสัมผัสบรรกาศช่วงคริสมัสในต่างประเทศ
บรรยากาศที่สัมผัสได้หลัก ๆ คือ การตกแต่งร้านค้า หรือ ตามสถานที่ต่าง ๆ โดยมีการประดับประดาด้วยไฟที่สวยงาม อากาศก็เย็น ๆ เหมาะกับกับการเดินเล่นกับคนที่รู้ใจ นอกจากการตกแต่งแล้ว ก็จะมีการจัดลานขายของซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกของขวัญ ของฝากให้แต่ละคนได้เลือกซื้อ (คล้าย ๆ กับตลาดนัดบ้านเรา )และก็จะมีลานน้ำแข็งให้ได้เล่น สเก็ตน้ำแข็งกัน บรรยากาศรื่นเริงน่าสนุก ๆจริงครับ
ในวันคริสมัสคนส่วนใหญ่เขาทำอะไรกัน ในส่วนเรื่องของศาสนาผมไม่ขอพูดถึง เอาเป็นว่าในช่วงเวลา ก็จะเป็นการรวมญาติ กินข้าวกัน และผู้ใหญ่ก็จะมอบของขวัญให้กับเด็ก ๆ ในวันดังกล่าวคนส่วนใหญ่จะอยู่กับครอบครัว
แต่บางคนก็อาจจะไม่ชอบวันนี้เลย เพราะถ้าวันคริสมัส ปราศจากลูก หลาน ที่มาร่วมกินข้าวด้วยกัน หรือ ไม่ได้รับเชิญให้ไปร่วมสังสรรค์วันคริสมัสที่บ้านของลูก ๆ หลาน คงเหมือนกับ พ่อ แม่รอลูกกลับบ้านในช่วงวันสงกรานต์ของบ้านเรา คนต่างจังหวัดจะเข้าใจดี เพราะถ้าทุก ๆบ้านลูกหลานกลับมาเยี่ยมบ้าน แต่ลูกของตัวเองไม่ได้มาในวันนั้น จะด้วยเหตุใดก็ตาม พ่อและแม่ก็คงจะแอบน้อยใจอยู่ไม่น้อย
แน่นอนวันคริสมัสเป็นเทศกาลที่ต้องให้ของขวัญกับเด็ก ๆ แต่เด็ก ๆ สมัยนี้มีความคาดหวังในของขวัญ ที่ตัวเองจะได้รับค่อนข้างสูง และส่วนใหญ่ก็จะอยากได้ เกมส์ มือถือ ราคาแพง แต่ถ้าเราไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะให้ได้ และเด็กก็แสดงพฤติกรรมที่ไม่อยากได้ของขวัญที่ผู้ใหญ่เตรียมมาให้ มันจึงทำให้หลาย ๆ คนไม่ชอบวันคริสมัสเอาเสียเลย
เนื่องด้วยผมเป็นคนพุทธ แต่ผมก็ชอบในวันคริสมาส เพราะ บรรยกาศ ทั่วทั้งเมืองถูกเนรมิตขึ้นมาอย่างสวยงาม อากาศเย็นถึงขั้นหนาวแต่ถ้ามีคนเดินเล่นด้วยกันยามค่ำคืนก็จะเป็นคริสมัสที่สุดแสนจะโรแมนติก และผมก็ไม่ต้องซื้อของขวัญให้ใคร เพราะไม่ได้รู้จักใคร และร้านค้าต่าง ๆ ก็ลดราคาสินค้าต้อนรับเทศกาลคริสมัส คือ ได้ซื้อของราคาถูก
และถ้าเทียบกับวันปีใหม่ของไทยละ อันนั้นผมชอบมากกว่า เพราะเราได้หยุดยาว(ต้องลาเพิ่ม)และอากาศที่บ้านของผมก็จะเย็น ๆ มีการก่อกองไฟ และกินข้าวรอบ ๆ กองไฟ กินข้าวเสร็จก็ ทำข้าวจี่กินกัน ซึ่งเป็นบรรกาศที่อบอุ่น และยิ่งตอนที่ยายยังไม่เสีย ก็จะพวกมันเทศ สารพัดของที่จะมาปิ้งกับไฟ ซึ่งกองไฟที่ทำ คือ ทำไว้ในต้วบ้านเลย เหมือนเตาผิงของพวกฝรั่งแต่เราทำด้วยวิธีไทย ๆ สำหรับเรืองของขวัญ หลาน ๆ หรือ คนในครอบครัว ก็ไม่เคยที่เรียกร้องอยากจะได้อะไร ขอแค่ให้เรากลับบ้านโดยปลอดภัย ก็พอแล้ว
พอใกล้จะถึงอาทิตย์จะสิ้นปี ก็ไม่มีกระจิตกระใจอยากจะทำอะไร นับวันรอกลับบ้าน แต่งานกลับดันเยอะมากในช่วงสิ้นปี แต่ด้วยความเป็นลูกจ้างมืออาชีพ จึงจำเป็นต้องรีบเคลียร์งานในเสร็จแล้วค่อยสังสรรค์ ถึงแม้ว่าจะต้องฝืนใจอยู่บ้าง
วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2557
คิดถึง.... เมื่อต้องห่างกัน
คงเป็นเรื่องธรรมดาที่เรารักใคร ชอบใครก็อยากจะให้เขาอยู่กับเรา อยากเจอกันบ่อย ไปเที่ยว เดินเล่น ด้วยกัน แต่มันก็เป็นเรื่องยากเมื่อคนเราชอบต้องห่างกันไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ไปเรียนต่อต่างประเทศ ไปทำงานต่างจังหวัด หรือฝ่ายหนึ่งจากเราไปเสียก่อน
สิ่งที่เราจะทำได้ในช่วงเวลาที่เราอยู่ห่างกันก็ไม่กี่อย่างเพื่อที่จะให้เวลาที่เราอยู่ห่างกันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
อยากแรกคือ แชท ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยนี้ ที่ให้คนไกลได้อยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ซึ่งโปรแกรมก็มีหลากหลายให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็น Line Whatapps Messenger Imessages สามารถเลือกใช้ได้ตามความชอบของแต่ละคน
แต่การแชทให้มีความสุขก็มีเคล็ดลับอยู่บ้าง เพราะบางคนก็มีโกรธกัน หรือ งอนกันผ่านไลน์
1. การแชทกันของคนที่อยู่คนละประเทศก็จะมีอุปสรรคบ้างเพราะเวลาไม่ตรงกัน เช่น ที่ออสเตรเลีย เวลาเร็วกว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง ต้องคิดถึงเขาว่าเวลาที่เราสะดวกคุย เขาจะไม่สะดวก
2. เวลาส่ง ข้อความไปแล้ว เขาไม่อ่าน หรือ อ่านแล้วไม่ตอบ อย่าเก็บมาเป็นอารมย์ เพราะ ทุกคนย่อมมีสิ่งที่ต้องทำอะไรมากมาย พอเขามีเวลาว่างเขาคงตอบ ต้องใจเย็น ไม่เก็บมาเป็นที่จะงอนกัน หรือโกรธกัน แต่ถ้าอีกฝ่ายตอบว่าไม่ว่างแล้วค่อยคุย ก็จะเป็นการดีเพราะอีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องรอ แต่เราต้องเข้าใจด้วยถ้าเขาบอกว่าไม่ว่างคือไม่สะดวกจริง อย่างี่เง้า อย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางที่ทุกคนต้องหยุดทุกอย่างแล้วสนใจแต่ตัวเอง
3. คนที่อยู่ห่างกันย่อมอยากรู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรอยู่ เรื่องบางอาจจะไม่ต้องเขียนบรรยาย ข้อความอะไรมากมาย เพียงแค่ถ่ายรูป เพื่อแชร์อีกฝ่ายหนึ่ง ตัวเองทำอะไรอยู่ มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในขณะนั้น แค่นี้ก็เป็นการเล่าเรื่องที่ค่าสำหรับคนที่คิดถึงคนแดนไกล มันจะให้เหมือนกับแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราอยู่ด้วยกัน ผ่านไปด้วยกันถึงแม้ตัวจะห่างกัน
4. วีดีโอ call หรือ Voice call ก็เป็นหนึ่ง ทางเลือกที่โปรแกมแชทสามารถทำได้ เมื่อมีโอกาศก็จะน่า ใช้มันเป็นสื่อกลางระหว่างกัน จะได้รู้ว่า ผมยาวหรือยัง โกนหนวดหรือยัง สิวขึ้นกี่เม็ด
อย่างที่สอง ฟังเพลง ที่มีความหมายระหว่างกันและกัน เพราะทุกครั้งที่ฟังมันจะทำให้เราคิดถึงกันและกันแต่มีความหวังในการที่จะรอให้เขากลับมาเร็ว ทำให้เรามั่นคงที่จะรอ
อย่างที่ สาม ทำกิจกกรมตามชีวิตประจำวัน ออกกำลัง ดูทีวี ออกไปเที่ยวกับเพื่อน ทำกิจกรรมกับครอบครัว อย่ามัวแต่มกหมุ่นที่จะรอ หรือ เรียกร้องให้เขามาคุย โทรหาทั้งวัน เพราะ อีกฝ่ายก็ต้องใช้ชีวิตของเขาเช่นกัน
อย่างที่ สี่ ดูรูปเก่าๆ ที่เคยทำกิจกรรมร่วมกัน จะได้นึกถึงวันที่มีความสุขด้วยกัน และจดจำวันเหล่านั้นเป็นท่อน้ำเลี้ยงของหัวใจ
แต่หลายคนก็คงมีวิธีที่จัดการกับความคิดถึงของตัวเองที่แตกต่างกัน แต่อย่าลืมคิดถึงตัวเองด้วย เพราะถ้าเราไม่รักตัวเอง แล้วเราจะรักเขาได้อย่างไร
วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557
รับราชการเป็นอาชีพที่มั่นคง (ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก)
ผมเติบโตมาในครอบครัวที่ทุกคนรับราชการ ไม่ว่าจะเป็น คุณตา คุณพ่อ คุณแม่ น้า อา ป้า ทั้งทางพ่อ และทางแม่ ก็จะถูกพร่ำสอนเริ่อยมาว่า รับราชการเป็นอาชีพที่มั่นคง มีสวัสดิการรักษาเราจนแก่จนเฒ่า จนเสียชีวิต มีเงินบำนาญให้ใช้ เป็นอาชีพที่มีเกียรติ ผู้คนเคารพนับหน้าถือตา และผมก็เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมแบบนั้น และที่พ่อแม่บอกก็เป็นจริงทุกประการ ผู้คนรอบ ๆ ข้าง ให้ความเคารพพ่อแม่เรา เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ และได้รับความไว้วางใจจากคนรอบข้าง ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ค่ารักษาพยาบาลก็ไม่ต้องเสียสักบาท แถมยังสามารถรักษาได้ถึง คุณตา คุณยาย และลูก ๆ อีก มันช่างดีอะไรอย่างนี้
แต่สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนคือเงินเดือนของข้าราชการนั้นมันไม่เยอะเลยครับแต่ครอบครัวของเราก็ภาคภูมิใจกับมัน และคำอวยพรจากผู้หลักผู้ใหญ่ส่วนมากก็คือขอให้ได้เป็นเจ้าคนนายคนเป็นครู เป็นตำรวจอะไรประมาณนั้น และตัวผมเองก็ถูกคาดหวังว่าจะต้องเป็นแบบนั้น
พอผมเติบใหญ่ขึ้นมาพ่อก็บอกว่ารอวไปสอบนายร้อยตำรวจดูสิ ไปสอบเล่นๆดูติดหรือไม่ติดก็ไม่เป็นไรตอนนั้นผมอยู่ ม4ก็ไปสอบให้พ่อแต่ผลสอบก็คือไม่ติดแต่พ่อก็เหมือนยังมีความหวังอยู่ลึกๆว่าเดี๋ยวสอบใหม่ได้ พอถึงม6พ่อก็เกริ่นๆอีกว่าลองสอบนายร้อยใหม่อีกทีไหมเพื่อเป็นทางเลือกผมก็ตอบรับว่าโอเคเดี๋ยวไปสอบซึ่งตอนนั้นสอบเอนทรานซ์เสร็จพอดีก็เลยไปสอบโดยนั่งรถจากโคราชตอนตี4และสอบเสร็จก็กลับเลยไปสอบอย่างไม่ตั้งใจ และผมก็ไม่เคยที่คิดจะเช็คตรวจผลสอบเลย เพราะตอนนั้นผลเอ็นทรานต์ออกแล้วและผมได้เขัาเรียนมหาลัย.
แต่เรื่องประหลาดใจก็เกิดขึ้นเมื่อเพื่อนโทรมาบอกว่า เราสอบผ่านนายร้อยตำรวจ ตอนนั้นเราก็ดีใจมากและครอบครัวก็ดีใจเป็นที่สุด แต่ถ้าต้องไปเรียนจริงๆเราอาจจะไม่ชอบก็เริ่มกังวล
แต่เรื่องประหลาดใจก็เกิดขึ้นเมื่อเพื่อนโทรมาบอกว่า เราสอบผ่านนายร้อยตำรวจ ตอนนั้นเราก็ดีใจมากและครอบครัวก็ดีใจเป็นที่สุด แต่ถ้าต้องไปเรียนจริงๆเราอาจจะไม่ชอบก็เริ่มกังวล
ผมก็เลยไปเช็ครายละเอียด พบว่ามันเลยวันที่ต้องไปรายงานตัวแล้ว แอบดีใจลึกๆแต่พ่อก็คงเสียใจอยู่ไม่น้อย เราก็เลยบอกพ่อว่าเดี๋ยวเรียนจบมหาลัยค่อยมารับราชการก็ได้
แต่หลังจากเรียนจบ และได้ไปเรียนต่อโทและก่อนจบก็ได้ไปสมัครทุนของข้าราชการไว้ และเขาก็เชิญเรามาสัมภาษณ์ที่เมืองไทย รู้สึกดีใจมากเพราะแน่ๆ ได้กลับบ้านฟรี ๆ และได้รับราชก็คงเป็นดั่งที่พ่อแม่ตั้งใจ แต่ผลสัมภาษณ์เราไม่ได้ แต่ก็ไม่เสียใจเพราะ เราได้ตั๋วไปกลับ ฟรี ๆ
หลังจากเรียนจบทุกอย่างจะต้องทำงานจริง ๆ แล้วละสิ ก็มองหาอยู่หลาย ๆ งาน แต่ตอนนั้นไม่อยากทำงานราชการเลย ก็เลยทำงานเอกชนเรื่อย ๆมา ก็เปลี่ยนบริษัทไปเรื่อย ๆ ตามการลเวลาและโอกาส ซึ่งเราก็มองว่าทำงานเอกชนก็มั่นคงน่ะ มีสวัสดิการเช่นกัน มีเงินออม มีอะไรเยอะแยะไม่ต่างจากรับราชการ แต่เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา ที่บริษัทที่ทำอยู่มีการปรับองค์กร โดยเรียกแต่ละคนเข้าไปคุย ซึ่งเนื้อหาที่คุยคือ คุณได้อยู่ต่อ หรือ ถูกจ้างออก มันน่ากลัวสุด ๆ ผมโชคดีที่ได้ไปต่อ แต่คนที่ถูกจ้างออกนี้สิครับ คงมืดไป 8 ด้าน แต่บางคนรับมือได้เร็วก็จะรีบหางานใหม่ ก่อนหมดสัญญาจ้าง เงินที่ได้จากการจ้างออกก็ถือเป็นโบนัส แต่คนที่อายุเยอะแล้ว และอยู่มานาน คงยากที่จะหางานใหม่ และเริ่มใหม่ในองค์กรอื่น ๆ
ถึงตอนนี้ก็ได้เข้าใจอย่างลึกซึ่งว่าอาชีพราชการเป็นอาชีพที่มั่นคง ถึงเงินจะน้อย แต่ก็พอเพียงเลี้ยงชีพให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ ถ้าเป็นครูก็จะมีวันหยุดตอนที่เด็ก ปิดเทอม และเรายังสามารถทำอะไรอย่างอื่นที่เราชอบได้อีก ไม่ว่าจะเป็นอาชีพเสริม หรือ งานอดิเรก อย่างที่พ่อกับแม่ทำมาจนเลี้ยงเราจนเติบใหญ่มาได้ทุกวันนี้
แต่หลังจากเรียนจบ และได้ไปเรียนต่อโทและก่อนจบก็ได้ไปสมัครทุนของข้าราชการไว้ และเขาก็เชิญเรามาสัมภาษณ์ที่เมืองไทย รู้สึกดีใจมากเพราะแน่ๆ ได้กลับบ้านฟรี ๆ และได้รับราชก็คงเป็นดั่งที่พ่อแม่ตั้งใจ แต่ผลสัมภาษณ์เราไม่ได้ แต่ก็ไม่เสียใจเพราะ เราได้ตั๋วไปกลับ ฟรี ๆ
หลังจากเรียนจบทุกอย่างจะต้องทำงานจริง ๆ แล้วละสิ ก็มองหาอยู่หลาย ๆ งาน แต่ตอนนั้นไม่อยากทำงานราชการเลย ก็เลยทำงานเอกชนเรื่อย ๆมา ก็เปลี่ยนบริษัทไปเรื่อย ๆ ตามการลเวลาและโอกาส ซึ่งเราก็มองว่าทำงานเอกชนก็มั่นคงน่ะ มีสวัสดิการเช่นกัน มีเงินออม มีอะไรเยอะแยะไม่ต่างจากรับราชการ แต่เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา ที่บริษัทที่ทำอยู่มีการปรับองค์กร โดยเรียกแต่ละคนเข้าไปคุย ซึ่งเนื้อหาที่คุยคือ คุณได้อยู่ต่อ หรือ ถูกจ้างออก มันน่ากลัวสุด ๆ ผมโชคดีที่ได้ไปต่อ แต่คนที่ถูกจ้างออกนี้สิครับ คงมืดไป 8 ด้าน แต่บางคนรับมือได้เร็วก็จะรีบหางานใหม่ ก่อนหมดสัญญาจ้าง เงินที่ได้จากการจ้างออกก็ถือเป็นโบนัส แต่คนที่อายุเยอะแล้ว และอยู่มานาน คงยากที่จะหางานใหม่ และเริ่มใหม่ในองค์กรอื่น ๆ
ถึงตอนนี้ก็ได้เข้าใจอย่างลึกซึ่งว่าอาชีพราชการเป็นอาชีพที่มั่นคง ถึงเงินจะน้อย แต่ก็พอเพียงเลี้ยงชีพให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ ถ้าเป็นครูก็จะมีวันหยุดตอนที่เด็ก ปิดเทอม และเรายังสามารถทำอะไรอย่างอื่นที่เราชอบได้อีก ไม่ว่าจะเป็นอาชีพเสริม หรือ งานอดิเรก อย่างที่พ่อกับแม่ทำมาจนเลี้ยงเราจนเติบใหญ่มาได้ทุกวันนี้
เธอคือส่วนที่ขาด
ตื่นมาสาย ๆ วันอาทิตย์ นั่งฟังเพลงไปเรื่อย และได้ฟังเพลง ๆ หนึ่งของ พี่มอส เพลงนั้นก็คือ เธอคือส่วนที่ขาด ซึ่งฟังอย่างตั้งใจ ไม่รู้อะไรดลใจให้ต้องตั้งใจฟังขนาดนั้น ฟังและคิดตามตลอดทั้งเนื้อเพลง
ก่อนหน้านี้ ฟังเพลงก็ฟังผ่าน ๆ ฟังเพื่อฆ่าเวลาตอนขับรถ หรือ ฟังเพื่อซ้อมไว้ยามไปผับจะได้ไม่ตกเทรน ไม่ได้ใส่ใจความหมายอะไรมากมายในแต่ละเพลง และก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าคนอกหักฟังเพลงที่มันโดนแล้วทำไมต้องร้องให้ ฟูมฟายยังกับจะเล่นมิวสิค อะไรจะอินขนาดนั้น หรือ เพื่อนบางคนมีความรักฟังเพลงรัก ๆ ก็จะอิน โลกสวย อยู่ได้ตลอดวัน และวันนี้ได้เข้าใจแล้วทุกอย่างว่าทำไมคนที่มีห่วงอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น รักหวานแหวว อักหัก แฟนมีชู้หรือ แฟนอยู่ไกล เวลาที่เขาฟังเพลงที่มันคล้ายกับเรื่องราว และความรู้สึกของเขาในตอนนั้นมัน อินเหลือเกิน เพราะเพิ่งเกิดขึ้นกับตนเองไม่นานมานี้
ปกติเป็นคนที่มั่นใจ และคิดว่าตัวเองมีพร้อมทุกอย่าง ไม่ค่อยเข้าใจคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกของชาวบ้าน และมักมองว่า ปัญญาของคนอื่นๆ เป็นเรื่องง่าย ๆ ถ้าเกิดขึ้นกับตัวเองจัดการได้สบายมาก ไม่จำเป็นต้องดราม่า หรือพวกอกหัก รักคุด รักห่างไกล ก็คิดว่าทำไมต้องเสียอกเสียใจอะไรขนาดนั้น ทำไมไม่ทำตัวเองให้แข็งแกร่งและกลับไปให้ความรักกับคนในครอบครัวของตัวเองดีกว่าไหม คนที่เขาไม่เคยที่จะหักหลัง หรือคิดไม่ซื่อ
แต่วันนี้ ทษฏีที่ตัวเองเชื่อมาโดยตลอดกลับไม่สามารถตอบคำและแก้ปัญหากับความรู้สึกและอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเองได้ในขนาดนี้ หลายคนอาจจะสงสัยเกิดอะไรขึ้นกับผม
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้เจอกับพี่คนหนึ่ง เจอกันครั้งแรก ก็ได้พูดคุยกันตามปกติทั่วไป หรือจะเรียกว่า ออกเดทก็ได้ครับ และหลังจากที่เราต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ก็มีการติดต่อผ่าน ไลน์พูดคุยกัน แต่สิ่งที่แปลกใจคือ เหมือนพี่เขารู้จักเรามานาน เข้าใจ และ คุยกับเรารู้เรื่อง ทุกอย่าง หลังจากวันนั้น เราก็มีการนัดเจอกันอีกครั้ง แต่การนัดกันครั้งนี้ไม่ค่อยราบรื่นเท่า คือ พี่เขามาช้าเกือบ 1 ชั่วโดยไม่บอกเรา และเราก็รอ ๆ ในช่วงเวลานั้นเอง ในหัวก็นึกถึงเพลง ต่าง ๆ แนว อกหัก เขาไม่รัก รอเก้ออะไรประมาณนั้น นั่งฟังไป ก็อินน้ำตาจะไหล เดินไป เดินมาทำมิวสิควีดีโอ สาระพัด ทำทุกอย่างที่ไม่เคยเข้าใจว่าคนพวกนั้นทำทำไม ทำไมไม่จัดการกับอารณย์ตัวเอง คราวนี้เจอะกับตัวเองเต็ม พ่อคนเก่งก็ไม่สามารถจัดการกับอารมย์ตัวเองได้เช่นกัน เป็นอยู่เกือบชั่วโมง และพี่เขาก็ติดต่อมา ก็มีน้อยใจบ้างแต่ทุกอย่างก็ไปได้ด้วยดี สาเหตุที่รอเจอพี่เขา เพราะวันรุ่งขึ้นพี่เขาจะไปทำงานต่างประเทศ 2 เดือน เลยจะร่ำลา
และวันที่พี่เขาต้องไปพี่เขาส่งไลน์บอกว่า ชอบเพลง เธอ ของ คอกเทล เท่านั้นแหละเราก็ เปิดยูทูปทันทีและตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ พอฟังจบน้ำตาไหลซึม เห้ย มันใช่เลย และก็ฟังซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ
และพี่เขาก็ถึงประเทศที่หมาย ซึ่งมันก็ตรงก็เช้าวันอาทิตย์ในกลางเดือนธันวาคมที่อากาศในกทมก็เย็น ๆ ลมเฉื่อย ๆ อยู่ดี ๆ นึกถึงเพลงเธอ คือส่วนที่ขาด ของพี่มอส เลยเปิดฟังและปล่อยอารมย์ไปตามเนื้อเพลง
เมื่อถึงท่อน
เพลงนี้คือบทสรุปที่ดีที่สุดของผม ความรักที่ครอบครัวมอบให้และเติมเต็มมาโดยตลอดผมคิดว่าแข็งแกร่งและแข็งแรงพอที่จะยืนยัดและผ่านทุกอย่างได้ แต่มาพอมาเจอความรู้สึกหวิว ๆ วูบวาบ จะรักหรือเปล่าไม่รู้ แต่มันทำให้เราว่า เรายังมีสิ่งที่ขาดหาย แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะวิ่งไล่ตามมันจนไม่ลืมหูลืมตามเพราะ ความรักที่ครอบครัวเต็มให้เรามันแทบจะเต็ม ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แล้วแต่ฟ้าดินลิขิต แต่เหตุการณ์นี้มันทำให้เราเข้าใจคนอื่นๆ มากขึ้น เข้าใจอารมณ์ความรู้สึก ของแต่ละคน เพราะแต่ละคนเขาอาจจะเหตุการณ์ต่างๆ มากมายไม่เหมือนกับเรา ขนาดเราที่ว่าเก่งยังไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ และสิ่งที่ได้อีกอย่างคือการฟังเพลงที่ตรงกับความรู้สึกและอารมณ์ของเรา เพลงเหล่านั้นเป็นเหมือนเพื่อนที่เข้าใจเรามากที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ที่ท้อแท้ ก็มีเพลงแนวให้กำลังใจ ฟังแล้วก็ฮึกเหริมขึ้นมา หรือเพลงรัก ฟังแล้วก็มีหวังจะได้เเป็นอย่างเพลง พยายามปรับตัวเองให้เขาสน หรือเพลงอกหัก จะคอยปลอบเราว่า เขาไม่ดีบ้าง ไม่เหมาะกับเราบ้าง อย่าไปสนใจเขาเลย อะไรประมาณนั้น
ขอให้ทุกผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆในชีวิตไปในทางที่ดี และอย่าลืมครอบครัวเป็นแหล่งให้คำปรึกษาและให้ความรักความอบอุ่นที่ดีที่สุด และเพลงก็เป็นเพื่อนที่ดีในยามที่เรามีอารมณ์ที่ผันแปร
ก่อนหน้านี้ ฟังเพลงก็ฟังผ่าน ๆ ฟังเพื่อฆ่าเวลาตอนขับรถ หรือ ฟังเพื่อซ้อมไว้ยามไปผับจะได้ไม่ตกเทรน ไม่ได้ใส่ใจความหมายอะไรมากมายในแต่ละเพลง และก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าคนอกหักฟังเพลงที่มันโดนแล้วทำไมต้องร้องให้ ฟูมฟายยังกับจะเล่นมิวสิค อะไรจะอินขนาดนั้น หรือ เพื่อนบางคนมีความรักฟังเพลงรัก ๆ ก็จะอิน โลกสวย อยู่ได้ตลอดวัน และวันนี้ได้เข้าใจแล้วทุกอย่างว่าทำไมคนที่มีห่วงอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น รักหวานแหวว อักหัก แฟนมีชู้หรือ แฟนอยู่ไกล เวลาที่เขาฟังเพลงที่มันคล้ายกับเรื่องราว และความรู้สึกของเขาในตอนนั้นมัน อินเหลือเกิน เพราะเพิ่งเกิดขึ้นกับตนเองไม่นานมานี้
ปกติเป็นคนที่มั่นใจ และคิดว่าตัวเองมีพร้อมทุกอย่าง ไม่ค่อยเข้าใจคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกของชาวบ้าน และมักมองว่า ปัญญาของคนอื่นๆ เป็นเรื่องง่าย ๆ ถ้าเกิดขึ้นกับตัวเองจัดการได้สบายมาก ไม่จำเป็นต้องดราม่า หรือพวกอกหัก รักคุด รักห่างไกล ก็คิดว่าทำไมต้องเสียอกเสียใจอะไรขนาดนั้น ทำไมไม่ทำตัวเองให้แข็งแกร่งและกลับไปให้ความรักกับคนในครอบครัวของตัวเองดีกว่าไหม คนที่เขาไม่เคยที่จะหักหลัง หรือคิดไม่ซื่อ
แต่วันนี้ ทษฏีที่ตัวเองเชื่อมาโดยตลอดกลับไม่สามารถตอบคำและแก้ปัญหากับความรู้สึกและอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเองได้ในขนาดนี้ หลายคนอาจจะสงสัยเกิดอะไรขึ้นกับผม
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้เจอกับพี่คนหนึ่ง เจอกันครั้งแรก ก็ได้พูดคุยกันตามปกติทั่วไป หรือจะเรียกว่า ออกเดทก็ได้ครับ และหลังจากที่เราต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ก็มีการติดต่อผ่าน ไลน์พูดคุยกัน แต่สิ่งที่แปลกใจคือ เหมือนพี่เขารู้จักเรามานาน เข้าใจ และ คุยกับเรารู้เรื่อง ทุกอย่าง หลังจากวันนั้น เราก็มีการนัดเจอกันอีกครั้ง แต่การนัดกันครั้งนี้ไม่ค่อยราบรื่นเท่า คือ พี่เขามาช้าเกือบ 1 ชั่วโดยไม่บอกเรา และเราก็รอ ๆ ในช่วงเวลานั้นเอง ในหัวก็นึกถึงเพลง ต่าง ๆ แนว อกหัก เขาไม่รัก รอเก้ออะไรประมาณนั้น นั่งฟังไป ก็อินน้ำตาจะไหล เดินไป เดินมาทำมิวสิควีดีโอ สาระพัด ทำทุกอย่างที่ไม่เคยเข้าใจว่าคนพวกนั้นทำทำไม ทำไมไม่จัดการกับอารณย์ตัวเอง คราวนี้เจอะกับตัวเองเต็ม พ่อคนเก่งก็ไม่สามารถจัดการกับอารมย์ตัวเองได้เช่นกัน เป็นอยู่เกือบชั่วโมง และพี่เขาก็ติดต่อมา ก็มีน้อยใจบ้างแต่ทุกอย่างก็ไปได้ด้วยดี สาเหตุที่รอเจอพี่เขา เพราะวันรุ่งขึ้นพี่เขาจะไปทำงานต่างประเทศ 2 เดือน เลยจะร่ำลา
และวันที่พี่เขาต้องไปพี่เขาส่งไลน์บอกว่า ชอบเพลง เธอ ของ คอกเทล เท่านั้นแหละเราก็ เปิดยูทูปทันทีและตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ พอฟังจบน้ำตาไหลซึม เห้ย มันใช่เลย และก็ฟังซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ
และพี่เขาก็ถึงประเทศที่หมาย ซึ่งมันก็ตรงก็เช้าวันอาทิตย์ในกลางเดือนธันวาคมที่อากาศในกทมก็เย็น ๆ ลมเฉื่อย ๆ อยู่ดี ๆ นึกถึงเพลงเธอ คือส่วนที่ขาด ของพี่มอส เลยเปิดฟังและปล่อยอารมย์ไปตามเนื้อเพลง
เมื่อถึงท่อน
ฉันรู้สึกมานาน ว่าฉันนั้นมีทุกอย่าง จนเมื่อเธอบอกฉันด้วยความรัก ด้วยใจ ทำให้รู้ที่แท้ตัวฉันไม่มีทุกอย่าง ทำให้รู้ว่ามีสิ่งไหนที่ยังขาดหาย
เพลงนี้คือบทสรุปที่ดีที่สุดของผม ความรักที่ครอบครัวมอบให้และเติมเต็มมาโดยตลอดผมคิดว่าแข็งแกร่งและแข็งแรงพอที่จะยืนยัดและผ่านทุกอย่างได้ แต่มาพอมาเจอความรู้สึกหวิว ๆ วูบวาบ จะรักหรือเปล่าไม่รู้ แต่มันทำให้เราว่า เรายังมีสิ่งที่ขาดหาย แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะวิ่งไล่ตามมันจนไม่ลืมหูลืมตามเพราะ ความรักที่ครอบครัวเต็มให้เรามันแทบจะเต็ม ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แล้วแต่ฟ้าดินลิขิต แต่เหตุการณ์นี้มันทำให้เราเข้าใจคนอื่นๆ มากขึ้น เข้าใจอารมณ์ความรู้สึก ของแต่ละคน เพราะแต่ละคนเขาอาจจะเหตุการณ์ต่างๆ มากมายไม่เหมือนกับเรา ขนาดเราที่ว่าเก่งยังไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ และสิ่งที่ได้อีกอย่างคือการฟังเพลงที่ตรงกับความรู้สึกและอารมณ์ของเรา เพลงเหล่านั้นเป็นเหมือนเพื่อนที่เข้าใจเรามากที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ที่ท้อแท้ ก็มีเพลงแนวให้กำลังใจ ฟังแล้วก็ฮึกเหริมขึ้นมา หรือเพลงรัก ฟังแล้วก็มีหวังจะได้เเป็นอย่างเพลง พยายามปรับตัวเองให้เขาสน หรือเพลงอกหัก จะคอยปลอบเราว่า เขาไม่ดีบ้าง ไม่เหมาะกับเราบ้าง อย่าไปสนใจเขาเลย อะไรประมาณนั้น
ขอให้ทุกผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆในชีวิตไปในทางที่ดี และอย่าลืมครอบครัวเป็นแหล่งให้คำปรึกษาและให้ความรักความอบอุ่นที่ดีที่สุด และเพลงก็เป็นเพื่อนที่ดีในยามที่เรามีอารมณ์ที่ผันแปร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)